วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

ความสุข..ความเศร้า

        เรื่องนี้เป็นวรรณกรรมที่ใครๆ ก็บอกว่าดีมากๆ พออ่านแล้วมันก็ดีมากๆ จริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วกะทิมีความสุขหรือเปล่า ตอนไหนบ้างนะ
                     
         จะว่าเป็นหนังสือที่แปลกมากๆ เรื่องหนึ่งก็ว่าได้นะคะ รู้สึกว่า ตอนที่อ่านก็อ่านไปด้วยแบะปากไปด้วย แบะปากที่ว่าก็คือจะร้องไห้ อ่านไปน้ำตาก็ไหลเป็นระยะๆ บันทัดแรกของทุกๆ ตอน มันมีอิทธิพลมาก ประโยคเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะกินใจอะไรนักหนา เศร้า..ซะจน จนอ่านต่อแทบไม่ได้  ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะเป็นเหมือนกันบ้างไหมนะ 

        น่าสงสารกะทิ ที่ต้องรู้สึกว่า..แม่..ไม่เคยนั่น...ไม่เคยนี่..ไม่เคยโน่น ...สารพัดจะไม่เคย..บางทีเราอาจเคยรู้สึกแบบนั้นก็ได้ ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนี้ หรือว่าคนเขียนจงใจจะสั่นสะเทือนหัวใจคนอ่านก็ไม่รู้ กะทิเศร้าซะจนไม่รู้ว่าจะสุขได้อย่างไร แต่สุดท้ายแล้วคนแต่งเรื่องก็ยังอุตส่าห์มาเล่าว่ากะทิมีความสุข จริงๆ แล้วน่าจะบอกว่า..กะทิพยายามมีความสุข..มากกว่า เอ๊ะ..หรือว่ายังไง แปลกหรือว่าเรางง???
 

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

ข้าวแห้ง

      ต่อจากเรื่องที่แล้ว ที่ค้างไว้นะคะ เขาว่ากันว่าคนบางคนมีมากจนมองไม่เห็นว่าของเล็กๆ น้อยๆ บางทีมันก็มีคุณค่ามากทีเดียว แม่ชีคนหนึ่งในสมณรามของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ท่านเล่าให้ฟังว่า... (เขาพูดภาษาไต้หวันฟังไม่ออกหรอก) ไกค์เขาแปลมาอีกทีค่ะ
       เรื่องมีอยู่ว่า "มีเศรษฐีท่านหนึ่ง รับประทานอาหารเหลือทุกวันๆ แต่ท่านก็ยังใจดี แบ่งข้าวที่เหลือมาให้ที่วัดทุกวันๆ เหล่าแม่ชีทั้งหลายมีอาหารรับประทานเองอยู่แล้วโดยการทำงานเลี้ยงชีพ ปลูกข้าวเอง ปลูกผักเอง และทำงานหาเงินเองเพื่อใช้ในการเลี้ยงชีพ ที่สมณรามแห่งนี้ไม่รับถวายปัจจัยใดๆ แต่รับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ประสบภัย ส่วนข้าวที่ท่านเศรษฐีแบ่งมาให้ เหล่าแม่ชีทั้งหลายท่านก็นำไปตากแห้งไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ช่วยเหลือผูู้อื่น แต่แล้ววันหนึ่งที่บ้านท่านเศรษฐีเกิดไฟไหม้ขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปในพริบตา ท่านเศรษฐีกลายเป็นผู้ประสบภัยซะเอง ไม่มีกระทั่งอาหารประทังชีวิต ท่านเข้ามาอาศัยเพิ่งใบบุญจากสมณราม เหล่าแม่ชีก็นำอาหารมาให้ท่านรับประทาน แม่ชีบอกกับท่านว่านี่เป็นข้าวของท่านเองที่ท่านบริจาคมาให้กับทางวัดทุกวันๆ เราไม่ได้ทิ้งขว้างไปไหนแม้แต่เมล็ดเดียว หากแต่เก็บมาตากแห้งไว้เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ประสบภัย ท่านเศรษฐีซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก พราก พราก" หลังจากนั้นท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนก็คิดค้นสูตรและเสริมคุณค่าทางอาหารเข้าไปแล้วทำผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาอันนี้ก็คือ "ข้าวแห้ง" นั่นเอง ท่านทำขึ้นมาเพื่อบริจาคช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ประสบภัย บางส่วนก็ขาย เงินที่ขายได้ก็บริจาคช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ประสบภัยอีกนั่นแหละ 
      เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า รับประทานข้าวให้หมดทุกเมล็ดเลยนะ อย่าเหลือทิ้งขว้างหากว่าเราไม่ได้เก็บมาใช้ประโยชน์อะไร ข้าวแต่ละเมล็ดที่เราล้างทิ้งไปหากเก็บมารวมกันแล้ว คงกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ ได้เลย ลองคิดตามดูว่า สมมติเราเหลือสัก 10 เมล็ด ถ้าบ้านเรามีสามคนรวม 30 เมล็ด ถ้าหมู่บ้านหนึ่งมี 100 หลังคาเรือน ทิ้งเรือนละ 30 เมล็ด ทุกวันทุกวัน 1 สัปดาห์ 1 เดือน หรือ 1 ปี จะเกิดอะไรขึ้น ...???? ครั้งหนึ่งชาวฉือจี้เคยมาช่วยเหลือคนไทยผู้ยากไร้ที่ภาคเหนือ เขาบอกว่าเวลาที่ชาวฉือจี้ไปช่วยเหลือที่ใด ก็จะถือโอกาสสอนผู้ยากไร้หรือผู้ประสบภัยเหล่านั้นด้วย เขานำข้าวสารมาให้ชาวเขาและสอนด้วยว่าทุกครั้งที่หุงข้าวกิน ให้นึกถึงว่าข้าวนี้มีคนให้มา ต้องไม่กินทิ้งขว้าง ยังมีคนอีกมากมายที่ยังต้องอดข้าว ปรากฏว่าชาวเขาคนนี้ก่อนที่จะหุงข้าวทุกๆ มื้อ เขาจะตวงข้าวมาหนึ่งถ้วย แล้วเอามือกำข้าวสารขึ้นมาก่อนหนึ่งกำใส่ไว้ในโอ่งเปล่าใบหนึ่ง ทำแบบนี้ทุกวันๆ ในที่สุด ชาวเขาผู้ยากไร้คนนี้ก็สามารถที่จะมีข้าวเต็มโอ่งนำไปบริจาคต่อให้กับผู้ยากไร้และผู้ประสบภัยคนอื่นๆ ได้ คนเราควรรับประทานแต่พอดี สัก 80% ก็พอ ไม่ต้องให้อิ่มมาก ถ้าอิ่มมากก็มีปัญหาอ้วนอีก โรคภัยต่างๆ ก็จะตามมา 

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

แก้วน้ำส่วนตัว

        เมื่อตอนวันหยุดช่วงปีใหม่ มีโอกาสได้ไปเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่และค้นหาแนวคิดดีๆ จาก"ฉือจี้ ชุมชนคนทำดี" ในไต้หวัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามากระทบใจ อยากจะบันทึกไว้ในความทรงจำ ..
        สิ่งแรกที่ได้รับเมื่อก้าวไปถึงก็คือ "แก้วน้ำพลาสติก" พร้อมกับชาอุ่นๆ พอได้จิบชาปรับสภาพร่างกายให้อุ่นขึ้นแล้ว ก็มีเรื่องเล่าของแก้วน้ำส่วนตัว ขอบอกว่าส่วนตัวมากๆ ไกค์ที่น่ารักบอกว่าให้นำแก้วน้ำใบนี้ติดตัวตลอดเวลา ชนิดที่ว่า ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงห้วยที่ไหนก็ต้องไม่ลืมเด็ดขาด เป็นภาระที่ทำให้เราต้องขมวดคิ้วไปพักหนึ่ง แต่แล้วทุกคนก็ต้องร้องว่า อ๋อออออ....ไปตามๆ กัน...
         "ถ้าทุกคนพกแก้วน้ำส่วนตัวไปทุกที่ โลกก็จะลดขยะไปได้อย่างมากที่เดียว ขอใช้คำว่า"มหาศาล"ก็แล้วกันน่าจะเหมาะกว่า พวกแก้วพลาสติกบางๆ ที่วางเรียงแถวอยู่ในร้านค้าก็ไม่ต้องถูกนำมาใช้ ซึ่งทุกคนนำมันไปใช้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่กีนาทีก็บีบทิ้ง หารู้ไม่ว่ามันได้มาอย่างไร เริ่มจากตรงไหน ส่วนนี้คงไม่ต้องสาธยาย ทรัพยากรและพลังงานที่ถูกนำไปใช้ในการผลิตสิ่งของเหล่านั้นก็ได้หยุดพัก ได้นำไปผลิตของอย่างอื่นที่ใช้ได้ถาวรและไม่เป็นขยะ หรือถ้าเป็นแก้วแบบใช้ได้ถาวรตามร้านอาหารก็เหมือนกัน การใช้แก้วส่วนตัวก็ยังดีกว่าอีกนั่นแหละ ล้างครั้งเดียวเราใช้ได้ทั้งวัน ไม่ต้องระแวงเรื่องเชื้อโรคด้วย เพราะเราใช้ส่วนตัวคนเดียว แล้วถ้าใช้แก้วน้ำของร้านอาหาร เขาก็ต้องเอาไปล้างและในการล้างแต่ละครั้งก็สิ้นเปลืองน้ำไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ทรัพยากรของโลกทั้งนั้น เราต้องช่วยกันประหยัดน้ำไว้ใช้ในเรื่องที่จำเป็นมากจริงๆ อนาคตข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่เร็วหรือช้าแค่ไหนที่ลูกหลานของเราจะต้องอยู่กันอย่างขาดแคลนน้ำ อะไรที่ช่วยกันได้เราก็ต้องช่วยกัน ประมาณนี้ค่ะ.."
       ไม่ว่าจะลงไปรับประทานอาหารที่ไหน พวกเราก็จะถือแก้วน้ำใบนี้ไปด้วยทุกครั้ง ดื่มหมดก็เติม ดื่มหมดก็เติม ก็ดีนะ ไม่ต้องล้างเลยทั้งวัน ไม่สิ้นเปลืองจริงๆ ทั้งน้ำ ทั้งแรง ..ส่วนตั๊ว ส่วนตัว.. ไม่ต้องกลัวโรคภัยเบียดเบียน ลดความเครียดลงไปได้อีกต่างหาก ที่สำคัญได้ฝึกความรับผิดชอบด้วย เรื่องนี้ที่โรงเรียนเราก็ทำนะ ให้เด็กๆ รับผิดชอบเอาขวดน้ำส่วนตัวมาทุกวัน เด็กๆ จะรู้และจะเข้าใจไหมนะว่าพวกเขาได้กลายเป็น "ซุปเปอร์ฮีโร่พิทักษ์โลก" ไปแล้ว 
      แถมอีกนิดค่ะ ทุกคนก็ทำได้ เวลาไปไหนมาไหนพกเจ้าแก้วน้ำส่วนตัวไปด้วย บางคนใช้วิธีแวะซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ น้ำหนึ่งขวดก็ใช่ว่าจะดื่มหมด ถือไปมาสักพักก็ขี้เกียจถือ มองซ้ายมองขวา..ทิ้งเลย อ๊ะ!..เพิ่มขยะอีกแล้ว แถมยังทิ้งน้ำดื่มอีก วันข้างหน้าถ้าไม่มีดื่มขึ้นมาน้ำตาจะไหลพรากกก..........ก เหมือนดังเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งของแม่ชีจากสมณรามของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน เรื่อง ของข้าวแห้ง..แล้วค่อยเล่าต่อค่ะ